ทำความรู้จักกับอาการมดลูกต่ำ
สำหรับผู้หญิงมดลูกถือเป็นอวัยวะที่สำคัญและบอบบางอวัยวะหนึ่ง ซึ่งอาการและภาวะที่สร้างความเสียหายให้กับมดลูกมีอยู่ด้วยหันหลายแบบ แต่ที่เกิดขึ้นได้ง่ายและสร้างความทรมานให้กับผู้หญิงย่อมหนี้ไม่พ้นอาการมดลูกต่ำ
มดลูกต่ำคืออะไร
มดลูกต่ำ (Pelvic Organ Prolapse) หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “มดลูกหย่อน (Prolapsed Uterus)” คือ การที่มดลูกเกิดการเคลื่อนที่จากบริเวณภายในอุ้งเชิงกรานลงมาที่บริเวณปากช่องคลอด การที่มดลูกต่ำลงมาเนื่องจากกล้ามเนื้อ เอ็น และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่ระหว่างกระดูกก้นกบและกระดูกหัวหน่าว ที่มีหน้าที่ยึดอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ให้อยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน เกิดการเสื่อมสภาพหรือถูกทำลาย ทำให้ไม่สามารถรักษาตำแหน่งของอวัยวะให้คงที่ได้ ส่งผลให้อวัยวะเคลื่อนที่ต่ำลงมายังบริเวณปากช่องคลอด
สาเหตุของอาการมดลูกต่ำ
อาการมดลูกต่ำ มีสาเหตุจากการที่กล้ามเนื้อทำหน้าที่ยึดมดลูกให้อยู่บริเวณอุ้งเชิงกรานอ่อนแอและเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้มดลูกเลื่อนต่ำลงมาที่บริเวณปากช่องคลอด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้เสื่อมสภาพหรืออ่อนแอลง มีดังนี้
1.อวัยวะภายในช่องท้องเกิดการหย่อน
การที่อวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectocele) ลำไส้ตรงหย่อน เป็นต้น มีภาวะหย่อนลงมา ทำให้อวัยวะดังกล่าวเข้ากดมดลูก ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยึดต้องแบกรับน้ำหนักของอวัยวะเพิ่มขึ้น เมื่อปล่อยไว้เป็นระยะเวลานาน กล้ามเนื้อเกิดความล้าและหย่อนตัวลง ทำให้มดลูกต่ำลงจากบริเวณอุ้งเชิงกรานมาอยู่ที่บริเวณปากมดลูก
2.การคลอดลูก
เนื่องจากการตั้งครรภ์ มดลูกต้องแบกรับน้ำหนักของเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์เป็นระยะเวลา 8-9 เดือน หากเด็กมีขนาดตัวที่ใหญ่หรือหนักมากกว่า 3,500 กรัม หรือมีลูกมากกว่า 1 คน ทำให้กล้ามเนื้อยึดมดลูกต้องทำงานหนัก ซึ่งหากกล้ามเนื้ออ่อนแอจะทำให้เกิดการหย่อนตัวลงมาหลังจากคลอดลูก หากไม่ได้ทำการอยู่ไฟอย่างครบถ้วนแล้ว มดลูกที่เคลื่อนตัวต่ำลงมาจะไม่กลับขึ้นอยู่ที่ตำแหน่งอุ้งเชิงกราน แต่จะอยู่ที่บริเวณช่องคลอดเหมือนตอนที่ยังคงอุ้มท้องอยู่
3.ท้องผูกเรื้อรัง
ภาวะท้องผูกชนิดเรื้อรัง อาการท้องผูกเกิดขึ้นเมื่อมีอุจจาระสะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานาน ซึ่งลำไส้ที่มีอุจจาระอยู่จะมีน้ำหนักมาก หากไม่สามารถถ่ายออกไป น้ำหนักนี้จะเข้าไปกดมดลูกให้เคลื่อนต่ำลงได้
4.กระดูกเชิงกรานผิดปกติ
สำหรับผู้หญิงที่มีลักษณะกระดูกเชิงกรานผิดปกติ ทำให้ความสามารถในการยึดมดลูกน้อยลง จึงมีความเสี่ยงเกิดอาการมดลูกต่ำมากกว่าผู้ที่มีกระดูกเชิงกรานปกติ
5.อายุ
อายุถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการมดลูกต่ำได้เช่นกัน เพราะเมื่ออายุมากขึ้นกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยวและกล้ามเนื้อมดลูก เกิดความเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ดังนั้นเมื่อมีอายุมากขึ้นมดลูกจึงเคลื่อนตัวต่ำลงไปด้วยนั่นเอง
6.ภาวะอื่น ๆ
ภาวะที่สามารถทำให้เกิดอาการมดลูกต่ำได้ เช่น โรคอ้วนที่มีไขมันสะสมอยู่ในช่องท้องสูง การยกของที่มีน้ำหนักมากเป็นประจำ หรือต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อยติดต่อกันเป็นเวลานาน มีภาวะความเครียด การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้าที่เป็นปัจจัยทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเสื่อมสภาพ เหล่านี้เป็นสาเหตุที่สามารถทำให้เกิดอาการมดลูกต่ำได้เช่นกัน
ระยะของมดลูกต่ำ
เมื่อมดลูกเคลื่อนตัวต่ำลงจากบริเวณอุ้งเชิงกรานจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง คือ
- ระยะที่ 1 ภาวะที่มดลูกหย่อนมายังบริเวณช่องคลอดเพียงครึ่งหนึ่ง
- ระยะที่ 2 ภาวะที่มดลูกเคลื่อนตัวต่ำลงมาใกล้กับบริเวณปากช่องคลอด
- ระยะที่ 3 ภาวะที่มดลูกเคลื่อนตัวออกมานอกช่องคลอดเพียงบางส่วน
- ระยะที่ 4 ภาวะที่มดลูกเคลื่อนตัวออกมานอกช่องคลอดทั้งหมด
ซึ่งระยะนี้จะเรียกว่า “มดลูกย้อย (Procidentia)” หากมดลูกออกมาช่องคลอดทั้งหมด แสดงว่ากล้ามเนื้อที่บริเวณอุ้งเชิงกรานเกิดการเสื่อมสภาพแบบถาวรและทั้งหมด ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเสื่อมสภาพ
อาการของมดลูกต่ำ
อาการที่บ่งชี้ที่แสดงออกมาจะมีดังนี้
- มีความรู้สึกหน่วงที่อุ้งเชิงกราน
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งของคล้ายลูกบอลหรือก้อนเนื้อ แนบอยู่ที่บริเวณช่องคลอด
- บริเวณปากช่องคลอดมีเลือดไหลออกมา
- ปริมาณตกขาวเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ
- เวลาที่มีเพศสัมพันธ์รู้สึกเจ็บและไม่สบายตัว
- มีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นประจำ
- รู้สึกปวดหลังที่บริเวณส่วนล่าง หรืออุ้งเชิงกราน
หากมีอาการดังกล่าวนี้ แสดงว่ามีความเสี่ยงในที่จะเกิดอาการมดลูกต่ำ ดังนั้นควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจว่าเป็นหรือไม่? หากเป็นจะได้รู้ว่าอยู่ในระยะใด เพื่อที่ทำการรักษาและป้องกันไม่ให้มดลูกต่ำลงไปอีก
การรักษามดลูกต่ำ
การรักษามดลูกต่ำหากยังไม่มีอาการที่รุนแรงหรืออยู่ในระยะที่ 1-2 ยังไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่หากมดลูกต่ำในระยะ 3-4 จะต้องรีบทำการรักษา ซึ่งแนวทางในการรักษามีดังนี้
1.การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
การบริหารกล้ามเนื้อเชิงกรานสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมและเห็นผลมากที่สุด คือ การขมิบช่องคลอด (Kegel Exercise) เนื่องจากเป็นการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่ได้ผลดีที่สุด นอกจากนี้ควรฝึกขมิบกล้ามเนื้อทวารหนักร่วมด้วย ซึ่งการบริหารกล้ามเนื้อนี้จะช่วยรักษาอาการมดลูกต่ำในระยะที่ 1-2 ได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับระยะที่ 3-4 อาจจะส่งผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
2.การใช้อุปกรณ์พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกราน (Vaginal Pessary)
การใส่อุปกรณ์เพื่อช่วยพยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกราน (Pessary) เข้าไปที่บริเวณช่องคลอด เพื่อเข้าไปช่วยพยุงมดลูกไม่ให้ลดต่ำลงมา เป็นการลดการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้น้อยลง อุปกรณ์นี้มีทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวร
3.การผ่าตัด
สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในระยะ 3-4 ที่ถือว่าค่อนข้างรุนแรง จะต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น ซึ่งการผ่าตัดมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ คือ
- การผ่าตัดเพื่อตัดเอาเนื้อเยื่อหรือกล้ามเนื้อส่วนที่เสียหายกับเสื่อมสภาพออก และใส่กล้ามเนื้อแบบสังเคราะห์เข้าไปเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อเชิงกรานแข็งแรงขึ้น
- ผ่าตัดตัดมดลูกออก (Hysterectomy) จากร่างกาย
- ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช (Laparoscopic Surgery) คือ การผ่าตัดเพื่อดึงมดลูกที่ต่ำลงให้กลับสู่บริเวณอุ้งเชิงกรานหรือตำแหน่งเดิม
การเลือกว่าจะใช้การผ่าตัดแบบไหน จะขึ้นอยู่กับลักษณะและอาการมดลูกต่ำที่เกิดขึ้น รวมไปถึงสภาพแวดล้อมโดยรวมของผู้ป่วยด้วย
4.การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ในผู้ป่วยที่มีอายุมากหรือผู้ป่วยที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนที่มีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อย
เมื่ออ่านรายละเอียดแล้วจะเห็นว่าอาการมดลูกต่ำ เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ในผู้หญิงทุกคน แต่ว่าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ เพียงแค่ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อช่องท้อง ย่อมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้
You may also like
Written by beauty
คลังเก็บ
Calendar
จ. | อ. | พ. | พฤ. | ศ. | ส. | อา. |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 |