เข้าใจตาปลาง่าย ๆ ห่างไกลอาการบาดเจ็บ
ท่ามกลางเทรนด์ฮิตเรื่องสุขภาพ รวมถึงเทรนด์ฮิตแห่งอนาคตที่หลาย ๆ คนมักรู้จักกันในชื่อ เอนไท เอจจิ้ง (Anti-Aging) การป้องกันและการชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของร่างกาย ส่งผลทำให้ผู้คนในสังคมต่างมีแนวโน้มเริ่มใส่ใจและให้ความสำคัญมากขึ้นเกี่ยวกับสุขภาพ รวมถึงการออกกำลังกายและการควบคุมอาหาร เมื่อเทรนด์การดูแลสุขภาพกำลังมา การออกกำลังกายจึงเป็นอีกหนึ่งกิจวัตรประจำวันที่สำคัญทันที แต่ก็มีปัญหาที่ตามมา คือ ตาปลา อาการผิดปกติบริเวณอวัยวะที่มีการเสียดสีกัน อีกหนึ่งอาการที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนคุ้นหูแต่ไม่รู้จัก ดังนั้นไปทำความรู้จักกับตาปลา แผลเล็ก ๆ แต่เจ็บจี๊ดถึงใจ หากปล่อยเรื้อรังอาจถึงขั้นผ่าตัด
ตาปลา คืออะไร
ตาปลามีลักษณะเหมือนตุ่มน้ำขุ่น ๆ หากสัมผัสจะมีผิวค่อนข้างแข็ง มีลักษณะกลมเหมือนตาปลา ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง หากกดหรือกระแทกแรง ๆ อาจส่งผลทำให้เกิดอาการเจ็บจี๊ดได้ จะยิ่งอันตรายมากหากตาปลาเกิดขึ้นบริเวณฝ่าเท้า หรือบริเวณผิวหนัง ส่วนที่อาจจำเป็นต้องสัมผัสบ่อยครั้ง เมื่อกระแทกจะเจ็บปวดมากหากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา
อาการบ่งชี้ว่ากำลังประสบปัญหาตาปลา
จากหัวข้อข้างต้นค่อนข้างชัดเจนว่าตาปลาจะมีลักษณะเป็นตุ่มกลมและแข็ง หากกดหรือพยายามแกะแผลจะเกิดอาการเจ็บจี๊ด อาจถึงขั้นมีเลือดซึมออกมาได้หากกระแทกรุนแรง ดังนั้นกล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ตาปลามี 2 รูปแบบ คือ
1.ตาปลาชนิดอ่อน
ตาปลาลักษณะอ่อน มักจะขึ้นบริเวณง่ามนิ้วเท้า อาการจะไม่รุนแรงมาก เนื่องจากบริเวณง่ามนิ้วท่ามเป็นส่วนที่สร้างความเสียหายให้กับตาปลาเพียงการเสียดสีของผิวหนังเท่านั้น อาการบาดเจ็บมักจะเกิดจากการกดหรือกระแทกเท่านั้น
2.ตาปลาชนิดแข็ง
ตาปลาประเภทนี้อาการจะค่อนข้างรุนแรง หากผู้ป่วยปล่อยทิ้งเอาไว้ จนเกิดตาปลาประเภทนี้ขึ้นมาจะรักษาได้ยาก เนื่องจากตาปลาชนิดแข็งจะขึ้นบริเวณที่สำคัญในการใช้ชีวิต เช่น ฝ่าเท้า, ส้นเท้า, ข้อพับ หรือบริเวณที่มีการเสียดสีของผิวหนังอยู่บ่อยครั้ง เช่น การทำกิจกรรมเดิม ซ้ำ ๆ นับว่าอันตรายสำหรับตาปลาชนิดแข็ง เพราะจะเกิดขึ้นบริเวณที่ร่างกายจำเป็นต้องรับน้ำหนักหรือใช้งานจนเสียดสีอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นตาปลาประเภทที่ 2 จึงมีความรุนแรงมาก เนื่องจากภายในแผลตาปลาจะมีหูดฝังตัวอยู่ (ขนาดขึ้นอยู่กับอาการ)
ตาปลามี 2 รูปแบบ ถึงแม้ความรุนแรงของทั้ง 2 แบบจะแตกต่างกัน แต่ความใส่ใจควรมีเท่ากัน เพราะถ้าหากปล่อยไว้นานจนเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจจะต้องพบกับความเจ็บปวดและอาจถึงขั้นผ่าตัดในที่สุด
ตาปลา เกิดจากอะไร
ภาพรวมของการเกิดตาปลานั้น เกิดจากการเสียดสีของผิวหนังอย่างต่อเนื่องและรุนแรง โดยผิวหนังประกอบไปด้วยผิวหนังแท้ และผิวหนังกำพร้าติดกันด้วยกลไกธรรมชาติ กระทั่งหนังกำพร้าและหนังแท้ถูกเสียดสีอย่างรุนแรงจนขาดออกจากกัน เผยให้เห็นหนังแท้และถ้ามีการเสียดอย่างต่อเนื่องโดยตรงกับชั้นหนังแท้ จนร่างกายกระตุ้นสร้างหนังกำพร้ารวมถึงขี้ไคลเพิ่มเข้าไปอีก ทุกอย่างจะสะสมรวมกันจนเป็นก้อนแข็งและฝังเข้าไปในชั้นหนังแท้และถูกหุ้มด้วยชั้นหนังกำพร้า พร้อมไปด้วยขี้ไคลจนแข็งและกลายเป็นหูดตาปลาในที่สุด
วิธีรักษาอาการตาปลา
ถึงแม้ตาปลาจะได้รับการขนานนามว่าน่ากลัวและส่งผลอาการรุนแรงได้ ทั้งยังส่งผลอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิต แต่รู้หรือไม่? วิธีการรักษาในปัจจุบันนั้นง่ายกว่าที่คิด ดังนี้
1.ใช้ยาภายนอก
ยาทาภายนอกที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น พลาสเตอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก 40 เปอร์เซ็นต์ หมั่นเปลี่ยนพลาสเตอร์ทุก 2-3 วัน และหมั่นแช่เท้าในน้ำอุ่น ก่อนเปลี่ยนพลาสเตอร์อันใหม่ ควรใช้พลาสเตอร์จนกว่าตาปลาจะหลุด
2.ยากัดตาปลา
ยาประเภทนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาเช่นกัน โดยสามารถรับคำแนะนำวิธีการใช้จากเภสัชกรได้ทันที
3.ผ่าตัด
วิธีสุดท้ายสำหรับอาการตาปลารุนแรง เช่น ขึ้นบริเวณกระดูกหรือต้องการหายจากตาปลาให้เร็วที่สุด คือ การผ่าตัดหรือการยิงเลเซอร์ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในการรักษาตาปลาในปัจจุบัน
สรุปได้ว่าตาปลาคืออาการที่เกิดจากการเสียดสี ไม่ใช่การติดเชื้อใด ๆ ดังนั้นวิธีรักษาจึงสามารถทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด ขอเพียงแค่เพื่อน ๆ เลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับรูปทรงเท้าของเรา ผู้หญิงหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูง รองเท้าประเภทบีบรัดฝ่าเท้า และที่สำคัญห้ามรักษาตาปลาด้วยการจี้ธูปเด็ดขาด นอกจากจะไม่หายแล้วอาจเสี่ยงติดเชื้อ รวมถึงบาดเจ็บเพิ่มอีกด้วย
You may also like
Written by beauty
คลังเก็บ
Calendar
จ. | อ. | พ. | พฤ. | ศ. | ส. | อา. |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 |