เมล็ดเจีย คืออะไร กินอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ
การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ถือเป็นการดูแลร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคที่ดีที่สุด โดยวันนี้เราก็มีอาหารเพื่อสุขภาพอย่างเมล็ดเจียมาแนะนำ สำหรับสายรักสุขภาพต้องไม่พลาดกันแล้ว
เมล็ดเจีย คือ อะไร
เมล็ดเจีย (Chia Seeds) คือ เมล็ดธัญพืชมีลักษณะเป็นทรงไข่ขนาดเล็กคล้ายกับเมล็ดแมงลัก แต่มีสีน้ำตาล เทา ขาวและมีเส้นสีดำเป็นลายทั่วทั้งเมล็ด ภายในเมล็ดเจียอุดมไปด้วยสารอาหารสูงมาก โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 ไฟเบอร์ คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกาย เมื่อนำไปแช่น้ำจะพองตัวเป็นวุ้นใส่ ๆ นิยมรับประทานทั้งแบบแช่น้ำและไม่แช่น้ำ รสชาติคล้ายกับถั่ว สามารถนำมาทำอาหารคาว ของกินเล่นและของหวาน
ประโยชน์ของเมล็ดเจีย
อย่างที่รู้กันว่าในเมล็ดเจียอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายประเภท ทำให้การกินเมล็ดเจียจึงดีต่อสุขภาพ โดยประโยชน์ของเมล็ดเจียหลัก ๆ มีดังนี้
1.ช่วยควบคุมน้ำหนัก
เมล็ดเจีย 1 ช้อนโต๊ะหรือประมาณ 15 กรัมจะมี 17 กรัม และให้พลังงานมากถึง 68 กิโลแคลอรีเลยที่เดียว ซึ่งไฟเบอร์ของเมล็ดเจียเป็นไฟเบอร์ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี ดังนั้นเมื่อกินเข้าไป ร่างกายสามารถดึงเอาไฟเบอร์ไปใช้ได้ดี ช่วยลดอาการท้องผูก นอกจากนั้นเมล็ดเจียสามารถพองตัวได้ หากกินแบบที่ยังไม่ได้แช่น้ำหรือเมล็ดเจียยังไม่พองตัว เมล็ดเจียจะเข้าไปพองตัวภายในท้อง โดยการดูดซึมน้ำและไขมันที่กินเข้าไป ทำให้รู้สึกอิ่มและอิ่มนานขึ้น จึงรับประทานอาหารได้ลดลงจึงช่วยลดน้ำหนักได้ดีนั่นเอง
2.บำรุงสมองและผิวพรรณ
เมล็ดเจียมีปริมาณโอเมก้า 3 สูงกว่าที่มีอยู่ในปลาถึง 8 เท่า เมื่อเทียบในปริมาณที่เท่ากัน ซึ่งโอเมก้า 3 ช่วยบำรุงสมองในผู้ใหญ่ ช่วยช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของสมองของเด็ก ช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ ภาวะการอักเสบของผิวหนัง ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์กว่าวัย
3.บำรุงกระดูก
เมล็ดเจียปริมาณแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและโปรตีน ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมอย่างได้ผล เพราะหากมีเพียงแคลเซียมสูงเพียงอย่างเดียว ร่างกายอาจจะทำการดูดซึมแคลเซียมไปใช้ได้น้อย แต่หากมีฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและโปรตีนจะช่วยให้ดูดซึมได้มากขึ้น ซึ่งแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกบาง โดยเฉพาะในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนสูง
4.ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
เมล็ดเจียเป็นธัญพืชที่มีน้ำตาลน้อย พลังงานสูง ดังนั้นเมื่อกินเข้าไปร่างกายจะได้รับปริมาณน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายทีละน้อย จึงสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้เลือดไม่ให้สูง ส่งผลช่วยลดอาการข้างเคียงที่เกิดจากโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี
จะเห็นว่าเมล็ดเจียเล็ก ๆ นั้นหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว จะส่งผลดีต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคอ้วนและโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
เทคนิคการกินเมล็ดเจียให้ดีต่อร่างกาย
อาหารทุกชนิดถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์ แต่หากกินอย่างไม่ถูกต้องแล้ว ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เมล็ดเจียก็เช่นกัน หากกินมากไปก็ทำให้ท้องอืด กินน้อยไปก็ได้ประโยชน์ไม่ครบถ้วน ดังนั้นวันนี้เราจึงนำเทคนิคการกินเมล็ดเจียให้ประโยชน์อย่างเต็มที่มาฝากกันดังนี้
1.กินเพื่อควบคุมน้ำหนัก
การกินเมล็ดเจียเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักให้คงที ควรกินแบบที่ผ่านการแช่น้ำจนเกิดการพองตัวเต็มที่แล้ว เพราะเมล็ดเจียที่พองตัวจะทำให้กระเพาะอาหารเต็มเร็วขึ้น กินอาหารได้น้อยลงและเมล็ดเจียที่พองตัวจะถูกย่อยได้ช้า ๆ จึงทำให้อิ่มนานขึ้น หิวช้าลง หากร่างกายต้องการใช้พลังงานจะดึงไขมันที่อยู่ในร่างกายมาเป็นพลังงาน ทำให้ไขมันลดลง ส่งผลให้น้ำหนักและสัดส่วนลดลง
ปริมาณที่เหมาะสมคือ 1 ช้อนโต๊ะต่อครั้ง และไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก
ปริมาณที่เหมาะสมคือ 1 ช้อนโต๊ะต่อครั้ง และไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
2.บำรุงกระดูกและผิวพรรณ
การทานเมล็ดเจียเพื่อบำรุงกระดูกและผิวพรรณควรกินเมล็ดเจียแบบแห้งหรือเมล็ดเจียที่ยังไม่ได้แช่น้ำ เพราะสามารถเคี้ยวเมล็ดเจียให้แตกออกได้ เพื่อให้ร่างกายสามารถดึงอาหารที่อยู่ในเมล็ดเจียออกมาให้ได้อย่างเต็มที่หรือนำเมล็ดเจียแห้งไปปั่นให้ละเอียดแล้วนำมากินเพียว ๆ หรือโรยบนอาหารชนิดอื่น เช่น โยเกิร์ต นม น้ำผลไม้ น้ำเต้าหู้ น้ำขิงหรือกินกับธัญพืชชนิดอื่นก็อร่อยเป็นอีกแบบ
ปริมาณที่เหมาะสมคือ 1 ช้อนโต๊ะต่อครั้ง และไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
ข้อควรระวังในการกินเมล็ดเจีย
เมล็ดเจียก็เหมือนกับอาหารหลาย ๆ ชนิดที่มีข้อควรระวังในการกิน ซึ่งข้อควรระวังในการกินของเมล็กเจีย คือ
1.ผู้ที่เป็นกรดไหลย้อน
ผู้ที่มีภาวะกรดหรือแก๊สในกระเพาะสูง ไม่ควรกินเมล็ดเจียแห้ง เพราะเมล็ดเจียจะเข้าไปพองในกระเพาะจะทำให้ตับอ่อนสร้างน้ำย่อยออกมามากผิดปกติ ส่งผลให้อาการกรดไหลย้อนมีความรุนแรงมากขึ้น
2.ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
เนื่องจากในเมล็ดเจียมีกรดอัลฟาลิโนเลนิกสูง จากงานวิจัยพบว่าสารนี้มีส่วนกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมีความเสี่ยงในการเป็นมากขึ้นในกลุ่มที่มีภาวะเสี่ยง
3.ไม่ควรกินติดต่อกันนาน
ถึงแม้ว่าการกินเมล็ดเจียในปริมาณที่พอดีจะส่งผลดีต่อร่างกาย แต่ก็ไม่ควรกินติดต่อกันนานเกิน 3-5 เดือน ควรหยุดกินอย่างน้อย 1 เดือนแล้วจึงค่อยกลับมากินอีกครั้ง เพราะเมล็ดเจียมีปริมาณสารอาหารบางชนิดสูงบางชนิดต่ำ จึงทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุลหากกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน และควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง
จะเห็นว่าเมล็ดเจียเม็ดเล็ก ๆ นั้น คุณประโยชน์ที่มีไม่ได้เล็กเลย ดังนั้นหากใครกำลังมองหาของกินเล่นที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความงามให้กับร่างกายแล้ว เมล็ดเจียถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ลองกินดูแล้วคุณจะรู้ว่าดีแค่ไหน
You may also like
Written by beauty
คลังเก็บ
Calendar
จ. | อ. | พ. | พฤ. | ศ. | ส. | อา. |
---|---|---|---|---|---|---|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 |